ว่าด้วยเรื่อง iPad+Battery
Battery เป็นส่วนประกอบสำคัญของ Ipad เรามาก
ในยุคของเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด การใช้อุปกรณ์พกพากลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของเรา iPad, หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นจาก Apple, ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามไม่ว่าจะเป็นการใช้งานเพื่อความบันเทิง การเรียนรู้ หรือการทำงาน ความสะดวกสบายที่ iPad มอบให้ผู้ใช้เกิดจากส่วนประกอบหลายๆ ส่วนที่ทำงานอย่างไร้ที่ติ ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด คือ แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ของ iPad เป็นหัวใจสำคัญที่คอยให้พลังงานและทำให้อุปกรณ์นี้ทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ การเข้าใจการทำงานและการดูแลรักษาแบตเตอรี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของ iPad ให้ยาวนานขึ้น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ใน iPad มีประสิทธิภาพสูง สามารถชาร์จได้รวดเร็วและเก็บประจุได้ดี แต่เช่นเดียวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ มันก็มีอายุการใช้งานที่จำกัด
ราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPad
ราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPad ราคารวมค่าบริการแล้ว
( อัพเดต 09/2024 )รับประกันสินค้า 1 ปีเต็ม
รุ่น iPad | ราคาแบตเตอรี่ |
---|---|
iPad mini 1 | 1,690 บาท |
iPad mini 2 | 1,690 บาท |
iPad mini 3 | 1,690 บาท |
iPad mini 4 | 2,000 บาท |
iPad mini 5 | 2,500 บาท |
iPad 10.2" Gen 7/8/9 | 2,000 บาท |
iPad Air 1 | 2,000 บาท |
iPad Air 2 | 2,000 บาท |
iPad Air 3 | 3,000 บาท |
iPad Air 4 | 2,690 บาท |
iPad Air 5 | |
iPad Pro 9.7" 2016 | 2,500 บาท |
iPad Pro 10.5" 2017 | 3,000 บาท |
iPad Pro 11" 2018 Gen 1 | 3,000 บาท |
iPad Pro 11" 2020 Gen 2 | 3,500 บาท |
iPad Pro 11" M1 Gen 3 | 3,900 บาท |
iPad Pro 12.9" Gen 1 | 3,500 บาท |
iPad Pro 12.9" Gen 2 | 3,500 บาท |
iPad Pro 12.9" Gen 3/4 | 4,500 บาท |
iPad Pro 12.9" M1 Gen 5 | 5,500 บาท |
ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจความสำคัญของแบตเตอรี่ใน iPad ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งาน รวมถึงเคล็ดลับในการใช้งานและดูแลรักษาแบตเตอรี่อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับการใช้งาน iPad ได้อย่างเต็มที่และยาวนานขึ้น
01 กระบวนการทางเคมีของแบตเตอรี่:
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ใน iPad มีการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ เนื่องจากปฏิกิริยาทางเคมีภายใน ซึ่งอาจทำให้ขั้วไฟฟ้าสึกกร่อนเมื่อใช้งานและชาร์จหลายรอบ
โครงสร้างและปฏิกิริยาเคมีภายใน
**แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีขั้วไฟฟ้าสองชนิดคือ ขั้วบวก (Cathode) และขั้วลบ (Anode) โดยมีอิเล็กโทรไลต์เป็นตัวนำประจุ
**ในระหว่างการชาร์จและคายประจุ จะเกิดการเคลื่อนที่ของไอออนลิเธียมระหว่างขั้วบวกและขั้วลบ
**ปฏิกิริยานี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีและกายภาพภายในแบตเตอรี่ นำไปสู่การลดประสิทธิภาพ
การเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ
**เมื่อใช้งานและชาร์จแบตเตอรี่หลายรอบ จะเกิดการสะสมของสารต่างๆ ที่ชั้นผิวของขั้วไฟฟ้า เช่น SEI (Solid Electrolyte Interphase) ที่ขั้วลบ ซึ่งอาจเพิ่มความต้านทานภายในและลดการนำไฟฟ้า
**ขั้วบวกก็อาจมีการสูญเสียโครงสร้าง ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่แบตเตอรี่เริ่มเก็บประจุได้น้อยลง
ผลกระทบจากรอบการชาร์จ
**แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนถูกออกแบบมาให้รองรับจำนวนรอบการชาร์จอย่างจำกัด (เช่น 300-500 รอบ) หลังจากนั้น ประสิทธิภาพในการเก็บประจุจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
**การชาร์จอย่างบ่อยครั้ง (ถึง 100% แล้วคายจนถึง 0%) และไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่แนะนำ อาจเร่งให้วงจรภายในแบตเตอรี่สึกหรอได้ไวยิ่งขึ้น เพราะว่าในกรณีถ้าเราชาร์จตั้งแต่ 0% ขึ้นมาทำแบบนี้บ่อยบ่อยจะทำให้แบตเตอรี่ร้อนและเสื่อมไวกว่าปกติ แนะนำให้ชาร์จตั้งแต่ 20% ขึ้นไปไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่หมดจนถึง 0% ใหม่ครั้งขึ้นไป
กระบวนการสึกกร่อนของขั้วไฟฟ้า
**การสึกกร่อนของขั้วไฟฟ้าเกิดจากการสูญเสียวัสดุที่ขั้วในระหว่างการทำปฏิกิริยาไฟฟ้าเคมี ซึ่งส่งผลให้ความสามารถในการเก็บกระแสไฟฟ้าลดลง
**ในระยะยาว โครงสร้างของขั้วไฟฟ้าเริ่มผิดรูป และเกิดความไม่เสถียรในกระบวนการชาร์จและคายประจุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมลง เพราะโดยปกติแล้วแบตเตอรี่จะเสื่อมตามอายุของแบตเตอรี่อยู่แล้วถึงแม้จะไม่ได้ใช้หรือใช้น้อยก็ตามขึ้นอยู่กับว่าจะเสียมากหรือเสียน้อยกว่าเท่านั้น
02
รอบการชาร์จ (Charge Cycles):
ทุกแบตเตอรี่มีจำนวนรอบการชาร์จที่จำกัด ซึ่งเป็นการที่แบตเตอรี่ถูกใช้และชาร์จใหม่จาก 0% ถึง 100% การใช้แบตเตอรี่จนหมดหรือชาร์จบ่อยเกินไปจะเร่งการเสื่อมสภาพ
รอบการชาร์จ (Charge Cycles) คืออะไร?
รอบการชาร์จของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งถูกใช้อยู่ในอุปกรณ์หลายประเภทเช่น iPad และสมาร์ทโฟน หมายถึง หนึ่งรอบที่แบตเตอรี่ใช้พลังงานทั้งหมดที่มีอย่างเต็มที่จนถึงระดับ 0% จากนั้นถูกชาร์จกลับขึ้นไปจนเต็ม 100% อย่างไรก็ตาม การนับรอบการชาร์จไม่ได้หมายความว่าแบตเตอรี่ต้องคายประจุหมดและชาร์จจากศูนย์เสมอ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณใช้อุปกรณ์จนแบตเตอรี่ลดลงจาก 100% เหลือ 50% จากนั้นชาร์จกลับขึ้นไปจนเต็ม และใช้ลงไปอีก 50% รอบนั้นจะนับเป็นหนึ่งรอบการชาร์จ (50% + 50% = 100%)
ทำไมรอบการชาร์จจึงสำคัญ?
วิธีการดูแลแบตเตอรี่ให้มีอายุการใช้งานนาน
-
ชาร์จอุปกรณ์บ่อยตามที่จำเป็น แต่พยายามอย่าปล่อยให้แบตเตอรี่ลดลงจนถึง 0% เป็นประจำ
-
หลีกเลี่ยงการชาร์จจนเต็ม 100% ตลอดเวลา เช่น หากไม่ได้ต้องการใช้แบตเตอรี่เต็มที่ทั้งหมดทันที
-
ชาร์จในสภาพแวดล้อมที่ไม่ร้อนหรือมีความชื้นสูง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายเพิ่มเติมจากอุณหภูมิ
-
ใช้อุปกรณ์ชาร์จที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ซึ่งจะช่วยควบคุมกระแสและแรงดันที่ถูกต้องในการชาร์จ
**อายุการใช้งานแบตเตอรี่: แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมีอายุการใช้งานจำกัด ซึ่งมักจะระบุเป็นจำนวนรอบการชาร์จ (เช่น 300-500 รอบ) การที่หนึ่งรอบเกิดขึ้นบ่อยครั้งจากการใช้งานปกติ เมื่อครบจำนวนรอบการชาร์จแล้ว ประสิทธิภาพในการเก็บประจุไฟจะเริ่มลดลง
**การเสื่อมสภาพตามธรรมชาติ: แม้จะยังไม่ถึงจำนวนรอบการชาร์จที่กำหนดไว้ แบตเตอรี่ก็จะค่อย ๆ เสื่อมสภาพตามเวลาและการใช้งาน ยิ่งมีการชาร์จไฟบ่อยครั้งในลักษณะที่ทำให้เกิดความร้อนสูงหรือคายประจุหมดบ่อยครั้ง ก็อาจจะเร่งให้เกิดการเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
**การดูแลรักษาแบตเตอรี่: การเข้าใจการทำงานของรอบการชาร์จจะช่วยให้คุณวางแผนการใช้พลังงานได้ดีขึ้น เช่น หลีกเลี่ยงการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็มตลอดเวลา หรือไม่ปล่อยให้แบตหมดประจุบ่อยครั้ง ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานจริงของแบตเตอรี่
03
อุณหภูมิที่สูง: การใช้งานหรือชาร์จ iPad ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงจะเพิ่มอัตราการเสื่อมของแบตเตอรี่ ตามการศึกษาพบว่าแบตเตอรี่ทำงานดีที่สุดในช่วง 20-25 องศาเซลเซียส
อุณหภูมิที่สูงคืออะไรและส่งผลอย่างไร?
อุณหภูมิที่สูงเกินไป (โดยทั่วไปมากกว่า 35 องศาเซลเซียส) ในขณะใช้งานหรือชาร์จ iPad สามารถส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:
**การเร่งปฏิกิริยาทางเคมี:
-
ความร้อนสูงสามารถเร่งปฏิกิริยาทางเคมีภายในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ทำให้เกิดการสึกหรอของวัสดุขั้วไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว
-
ปฏิกิริยาเหล่านี้อาจทำให้ขั้วไฟฟ้าเสื่อมและความจุของแบตเตอรี่ลดลงเร็วยิ่งขึ้น
**การก่อตัวและแตกตัวของ SEI (Solid Electrolyte Interphase):
-
ที่อุณหภูมิสูง การก่อตัวของชั้น SEI ที่ผิดปกติบนขั้วลบจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการต้านทานภายในและลดความสามารถในการเก็บประจุของแบตเตอรี่
**การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ:
-
อุณหภูมิสูงสามารถทำให้วัสดุในแบตเตอรี่เกิดการขยายตัวและหดตัวผิดปกติ ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างภายใน
-
การเปลี่ยนแปลงนี้อาจนำไปสู่ความเสียหายทางกายภาพภายในเซลล์แบตเตอรี่
**ความเสี่ยงการเสื่อมถอยที่เพิ่มขึ้น:
-
หากแบตเตอรี่ถูกเก็บหรือใช้งานในสภาวะที่ร้อนมากเกินไปบ่อยครั้ง อาจทำให้เกิดการเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วและอาจลดอายุการใช้งานลงได้
วิธีการลดผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูง:
-
หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์หรือชาร์จในที่ที่มีอุณหภูมิสูง เช่น ทิ้งไว้ในรถที่จอดกลางแดด
-
เมื่อชาร์จ iPad ให้เลือกสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทหรือตั้งไว้ในสถานที่ที่ไม่มีแสงแดดส่องโดยตรง
-
ตรวจสอบสถานะเครื่องอยู่เสมอ หากเริ่มรู้สึกว่า iPad ร้อนเกินควรหยุดการใช้งานชั่วคราวและให้เครื่องเย็นลงก่อนใช้งานต่อ
-
ปิดฟีเจอร์หรือแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็นขณะใช้งานเพื่อช่วยลดภาระการทำงานของ CPU และลดการเกิดความร้อน
04
การปล่อยแบตเตอรี่ให้หมดเกลี้ยงบ่อยครั้ง: การทำให้แบตเตอรี่ลดลงจนถึง 0% บ่อย ๆ จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ และความจุลดลงเร็วกว่าปกติ
ปัญหาการปล่อยแบตเตอรี่จนหมด (Deep Discharge)
การปล่อยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนของ iPad หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ให้คายประจุจนถึง 0% หรือที่เรียกว่า “deep discharge” นั้นไม่เหมาะสมและมีผลกระทบต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ทั้งในแง่ของความจุที่ลดลงและประสิทธิภาพการทำงานที่แย่ลง เนื่องจากสาเหตุดังนี้:
**ความเครียดต่อเซลล์แบตเตอรี่:
-
เมื่อลิเธียมไอออนในแบตเตอรี่ถูกใช้งานจนหมดเกลี้ยง จะเกิดความเครียดทางเคมีอย่างมากกับเซลล์แบตเตอรี่ ส่งผลให้เกิดการเสื่อมสภาพภายใน ซึ่งทำให้การเก็บไฟฟ้าในแต่ละครั้งลดลง
**การสูญเสียความจุเร็วขึ้น:
-
การปล่อยแบตเตอรี่ให้คายจนหมดบ่อย ๆ สามารถเร่งการสลายตัวของส่วนประกอบภายในแบตเตอรี่ ทำให้ไม่สามารถเก็บประจุได้เต็มศักยภาพเดิม
-
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนได้รับการออกแบบให้ทำงานได้ดีที่สุดเมื่อมีประจุอยู่ในระดับที่กลาง ๆ (20%-80%) ไม่ใช่ที่ 0%
**ความเสี่ยงในการเข้าภาวะ "แบตเตอรี่ลึก" (Dead Battery):
-
การที่แบตเตอรี่หมดประจุบ่อยครั้งอาจเพิ่มโอกาสให้แบตเตอรี่เข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า "แบตเตอรี่ลึก" ซึ่งหมายถึงสภาวะที่แบตเตอรี่ไม่สามารถชาร์จไฟเข้าได้เลย จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
-
**การกระทบต่อความเสถียรในปฏิกิริยาเคมี:
การปล่อยแบตเตอรี่ให้คายจนหมดสามารถทำให้สูญเสียความเสถียรทางเคมีภายในแบตเตอรี่ เช่น การก่อตัวของคริสตัลที่อาจทำให้เกิดความต้านทานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและลดความสามารถในการส่งและเก็บประจุ
05 ผลกระทบของความชื้นสูงต่อ iPad และแบตเตอรี่
**การเกิดการลัดวงจรภายใน:
-
ความชื้นสามารถแทรกซึมเข้าไปในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดการลัดวงจรในระบบวงจรไฟฟ้าภายใน ส่งผลให้การทำงานของแบตเตอรี่และวงจรอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ผิดพลาด
-
**การเกิดการกัดกร่อน (Corrosion):
-
เมื่อความชื้นเข้ามาในอุปกรณ์ จะสามารถทำให้ส่วนประกอบต่าง ๆ โดยเฉพาะในแบตเตอรี่เกิดการกัดกร่อนโลหะได้ ซึ่งจะลดความสามารถในการนำไฟฟ้าและทำให้การเก็บประจุของแบตเตอรี่ลดลง
-
**การสร้างปฏิกิริยาทางเคมีที่ไม่พึงประสงค์:
-
ภายในแบตเตอรี่และวงจรไฟฟ้า ความชื้นสามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การเกิดออกไซด์บนขั้วไฟฟ้า ซึ่งทำให้การทำงานของแบตเตอรี่ไม่เสถียรและอาจเสื่อมสภาพไวขึ้น
**ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเก็บประจุ:
-
สภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูงมักทำให้อุณหภูมิภายใน iPad เปลี่ยนแปลง อาจทำให้แบตเตอรี่ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพและอาจทำให้ความจุในการเก็บประจุลดลง
**ความเสี่ยงต่อการเสื่อมสภาพ:
-
เมื่อเวลาแถมความชื้นสะสมภายในแบตเตอรี่หรือตัวเครื่อง อาจจะเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ เร็วยิ่งขึ้น เพราะมันมีผลกระทบต่อวัสดุที่ใช้ในการผลิตเซลล์แบตเตอรี่
06 การใช้แอปพลิเคชันที่ต้องใช้พลังงานสูง:
การใช้แอปพลิเคชันที่ต้องใช้พลังงานสูง
แอปพลิเคชันที่ต้องใช้พลังงานสูงมักเป็นแอปที่ต้องการประสิทธิภาพการประมวลผลในระดับสูงจากหน่วยประมวลผลหรือการ์ดกราฟิกในอุปกรณ์ เช่น เกมที่มีกราฟิกหนัก, ซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอ, หรือแอปพลิเคชันที่ทำการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ซึ่งมีผลกระทบดังนี้:
**การเพิ่มอุณหภูมิของอุปกรณ์:
-
เมื่อแอปพลิเคชันเหล่านี้ทำงาน หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) จะทำงานหนักกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมภายในอุปกรณ์
-
ความร้อนที่เกิดขึ้นในปริมาณที่มากและเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ส่วนต่าง ๆ ภายใน iPad รวมถึงแบตเตอรี่อาจร้อนไปด้วย
**ผลกระทบต่อแบตเตอรี่:
-
ความร้อนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็ว เพราะอุณหภูมิที่สูงจะเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในแบตเตอรี่ ทำให้ส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น เซลล์ไฟฟ้า เกิดการสลายตัวเร็วขึ้น
-
แบตเตอรี่ที่ทำงานในสภาพอุณหภูมิสูงอยู่บ่อยครั้งจะมีอายุการใช้งานที่สั้นลง เนื่องจากความสามารถในการเก็บประจุไฟฟ้าจะลดลงเรื่อย ๆ
**การลดประสิทธิภาพการใช้งาน:
-
นอกจากการเสื่อมสภาพแล้ว อุณหภูมิสูงส่งผลให้แบตเตอรี่ประจุไฟฟ้าได้ไม่เต็มที่ และอาจทำให้รู้สึกว่าต้องชาร์จแบตเตอรี่บ่อยขึ้น
แอปพลิเคชันที่ต้องใช้พลังงานสูงมักเป็นแอปที่ต้องการประสิทธิภาพการประมวลผลในระดับสูงจากหน่วยประมวลผลหรือการ์ดกราฟิกในอุปกรณ์ เช่น เกมที่มีกราฟิกหนัก, ซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอ, หรือแอปพลิเคชันที่ทำการประมวลผลแบบเรียลไทม์ ซึ่งมีผลกระทบดังนี้:
**การเพิ่มอุณหภูมิของอุปกรณ์:
-
เมื่อแอปพลิเคชันเหล่านี้ทำงาน หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) จะทำงานหนักกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมภายในอุปกรณ์
-
ความร้อนที่เกิดขึ้นในปริมาณที่มากและเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ส่วนต่าง ๆ ภายใน iPad รวมถึงแบตเตอรี่อาจร้อนไปด้วย
**ผลกระทบต่อแบตเตอรี่:
-
ความร้อนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพเร็ว เพราะอุณหภูมิที่สูงจะเร่งปฏิกิริยาเคมีภายในแบตเตอรี่ ทำให้ส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น เซลล์ไฟฟ้า เกิดการสลายตัวเร็วขึ้น
-
แบตเตอรี่ที่ทำงานในสภาพอุณหภูมิสูงอยู่บ่อยครั้งจะมีอายุการใช้งานที่สั้นลง เนื่องจากความสามารถในการเก็บประจุไฟฟ้าจะลดลงเรื่อย ๆ
**การลดประสิทธิภาพการใช้งาน:
-
นอกจากการเสื่อมสภาพแล้ว อุณหภูมิสูงส่งผลให้แบตเตอรี่ประจุไฟฟ้าได้ไม่เต็มที่ และอาจทำให้รู้สึกว่าต้องชาร์จแบตเตอรี่บ่อยขึ้น
07 การใช้สายชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน: